การปลูกไผ่หวาน “พันธ์ลืมแล้ง” ที่โรงเรียนบ้านควนเจดีย์

ข้อมูลทั่วไปของไผ่หวานลืมแล้ง

ไผ่หวานลืมแล้งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า  DENDROCALAMUS ASPER BACKER   อยู่ในวงศ์ GRAMINEA  ลำต้นสูงได้กว่า 15 เมตร. ลำต้นเป็นข้อหรือปล้อง ระหว่างข้อหรือปล้องยาวประมาณ 30-50ซม. ลักษณะของข้อนูนเห็นได้ชัดเจน สีของลำไผ่หวานลืมแล้งเขียวเข้มเป็นมันไม่มีขน เนื้อในลำต้นจะตันหรือเกือบตัน อาจมีรูเล็กๆไม่กลวงเหมือนลำไผ่ทั่วไป น้ำหนักเฉลี่ยของหน่ออยู่ประมาณ 1.5-3.0 กิโลกรัม/หน่อ เนื้อของหน่อที่รับประทานได้มีประมาณ 75% ของหน่อ สามารถปลูกได้ทุกพื้นที่ทนต่อสภาวะต่างๆได้ดี ไม่เปลืองสารเคมีในการกำจัดศัตรูพืช ทำให้ปลอดจากสารเคมี และ ปุ๋ยคอกเป็นปุ๋ยดีที่สุดสำหรับการปลูกไผ่หวานลืมแล้ง ใช้เวลาสั้นในการเก็บเกี่ยวผลผลิต(ประมาณ1ปี) ปลูกง่าย โตไว รายได้ดี  (คืนทุนเร็ว ความเสี่ยงน้อย)

การปลูกไผ่หวานลืมแล้ง

ฤดูที่เหมาะสม ควรปลูกช่วงต้นฤดูฝน หรือราวเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม

การเตรียมพื้นที่ปลูก

พื้นที่จะปลูกควรตัดโค่นไม้ใหญ่ออก เพราะจะไปแย่งอาหารจากไผ่ ถ้าได้พื้นที่ใกล้แหล่งน้ำจะดีมาก เพราะไผ่เป็นพืชที่ต้องการน้ำมาก ไผ่ทั่วไปไม่ชอบน้ำขังแต่สำหรับไผ่หวานลืมแล้งน้ำท่วมขังก็ไม่ตาย ได้ทดลองโดยจมอยู่ในน้ำนานถึง 4เดือนก็ไม่เป็นอะไร(แต่ต้องปลูกเกิน6เดือนแล้ว)  เริ่มการเตรียมพื้นที่ปลูกโดยการไถหยาบด้วย ผาน 3 ตากแดดให้ดินแห้งเพื่อกำจัดเชื้อราและวัชพืชบางชนิด ทิ้งไว้ สัก 5-7 วัน ไถละเอียดด้วยผาน 7 อีกครั้ง เป็นอันใช้ได้ หรือหากใครไม่รีบร้อน ไถผาน3 แล้ว หว่านปอเทือง พอต้นโตออกดอกแล้ว ไถกลบด้วย ผาน 7 เพื่อปรับสภาพดินก่อน จะดีมากเลยครับ
จำนวนกิ่งพันธุ์ที่ที่ใช้ ต่อ 1ไร่

ระยะห่างระหว่างต้น    3 เมตร

ระยะห่างระหว่างแถว  4 เมตร ใช้กิ่งพันธุ์ประมาณ  120   กิ่ง

หลักการคำนวณ

400 ตารางวา  =   1 ไร่      หรือ       1,600 ตาราเมตร    = 1ไร่

เพราะฉะนั้นพื้นที่  1,600 ตรม.  จะมีพื้นที่ขนาด กว้าง*ยาว =  40เมตร*40 ม.
ต้องการปลูกระยะระหว่างแถว 4 เมตร (กั้นทางเดินไว้เก็บเกี่ยว)ต้องใช้ต้นไผ่
40/4=10ต้น
ต้องการปลูกระยะระหว่างต้น  3 เมตร

ต้องใช้กิ่งพันธุ์  40/3 = 12 ต้น

พื้นที่  1   ไร่   จะใช้ต้นไผ่ (10*12  ต้น)     =    120   ต้น

ที่กำหนดไว้   1ไร่ ควรปลูก ประมาณ  (100-120ต้น)เพื่อความยืดหยุ่นของแต่ละบุคคลและสถานที่ต้องเว้นพื้นที่ไว้เพื่อทำถนนและอื่นๆจำนวนที่เหมาะที่สุดอยู่ที่ไร่ละ100ต้นครับ

 

วิธีปลูกไผ่หวานลืมแล้ง

ขุดหลุมปลูก ขนาดมาตรฐาน 40x40x40 ซ.ม. (แนะนำว่าหากใครจ้างคนงานปลูกควรดูให้ดี ระวังจะหดเหลือ 15-20 ซ.ม. แทน แต่ขนาดของหลุมก็ขึ้นอยู่กับสภาพของดินถ้าเป็นร่วนปนทรายหลุมก็ไม่จำเป็นต้องใหญ่ขนาดนั้นบางพื้นที่ที่เป็นดินเหนียวหลุมจะอยู่ที่25×25ซ.ม.) ระยะห่างระหว่างต้น ที่สวนโพธิ์พระยา (ตงลืมแล้ง)ผมปลูกไผ่ขนาด 3×4 เมตร. โดยขุดหลุมและนำดินขึ้นมากองไว้ใส่ปุ๋ยคอกผสมกับหน้าดินที่ขุดขึ้นมาลงไปประมาณ 0.5-1.0 กิโลกรัม    ถ้าใครไม่แน่ใจว่าดินแถวนี้มีปลวกเยอะหรือเปล่าก็แนะนำให้ใส่ยาฆ่าแมลงฟูราดานลงไปด้วย 1ช้อนชา ผสมดินกับปุ๋ยคอกให้เข้ากันรองก้นหลุมด้วยดินที่ผสมปุ๋ยคอกแล้วให้สูงจากดินก้นหลุม ประมาณ 10-15 ซม. แล้วนำต้นกล้าไผ่หวานลืมแล้งวางลงไปในหลุมให้วางกิ่งไผ่เอียงประมาณ 50-60 องศา(เพื่อหน่อต่อไปจะได้แทงขึ้นตรงและเร็ว) ฉีกถุงพลาสติกออกก่อนวางกิ่งพันธุ์ กลบดินจนพูน ตอนนี้ให้รดน้ำและอัดดินให้แน่น(สำคัญ) เมื่อดินล่างแน่นแล้วให้กลบดินทั้งหมดลงไป พูนดินบริเวณโคนกิ่งไผ่ให้เป็นเนินสูงเล็กน้อย ใช้ไม้ปักเป็นหลักตอกยึดกิ่งไผ่ไว้ให้แน่นเพื่อกันลมโยก ถ้าลมแถวนั้นแรง ถ้าลมไม่แรงมากไม่ต้องปักหลักไม้ ใช้เชือกปอแก้วบางๆมัดให้แน่น รดน้ำให้ชุ่มเมื่อดินยุบตัวแล้วจะเสมอกับพื้นที่ปลูกพอดี ถ้าจะทำอย่างละเอียด (มีเวลามาก) ควรใช้ทางมะพร้าวหรือวัสดุอื่นช่วยพรางแสงแดดจนกว่าต้นกล้าจะมีใบใหญ่ และตั้งตัวได้ แล้วจึงค่อยเอาออก แต่ถ้าปลูกหน้าฝนผมขอเสนอว่า ไม่ต้องครับ

การดูแลรักษาไผ่หวานลืมแล้ง
ควรทำการบำรุงรักษาให้เหมาะสมเพื่อให้ได้รับผลผลิตอย่างสม่ำเสมอ ดังนี้
1. การให้น้ำ
ช่วงแรก (โดยเฉพาะ 1-3 เดือน) ต้นไผ่ต้องการน้ำมาก ควรให้น้ำวันเว้นวัน แต่ถ้าปลูกไผ่ในฤดูฝน อาจไม่จำเป็นต้องให้น้ำถี่ขนาดนั้นก็ได้(เพราะฉะนั้นเราควรจะปลูกไผ่กันในฤดูฝนเพื่อลดต้นทุนต่างๆ) นอกจากในกรณีฝนทิ้งช่วงนาน จึงให้น้ำช่วย แต่หลังจากหมดฝนแล้ว ผู้ปลูกต้องคอยรดน้ำให้เสมออย่าปล่อยให้ขาดน้ำนาน เพราะในปีแรกต้นไผ่ยังไม่ค่อยแข็งแรงนักถ้าไม่มีน้ำ อาจตายได้โดยง่าย หลังจากต้นไผ่อายุเกิน 6-8 เดือน ไปแล้ว จะแข็งแรงและทนต่อสภาพแห้งแล้งได้ดีขึ้น

  1. การใส่ปุ๋ย
    ในช่วงต้นปีแรก (1-3เดือน)ต้นไผ่สามารถใช้ปุ๋ยคอกที่คลุกเคล้าไปกับดินที่ปลูกได้พอ แต่ในระยะต่อๆ ไป จำเป็นต้องมีการพรวนดินรอบๆกอและใส่ปุ๋ยคอก 1เดือน/ครั้ง ครั้งละประมาณ2-3กกในระยะนี้อาจจะเห็นว่าหน่อที่แตกจะมีขนาดค่อนข้างเล็กและจะมีขนาดโตขึ้นทุกๆ ปี ถ้าความชุ่มชื้นและดินอุดมสมบูรณ์ดีพอเพียง แต่ถ้าจะให้ผลรวดเร็วควรจะให้ปุ๋ยเคมี 46-0-0 เร่ง ประมาณ2-3กำมือ/กอ/เดือน จะทำให้ไผ่เกิดหน่อปริมาณมากตลอดปี เดือนที่7 จะทำการตัดแต่งกอและพรวนดินเพื่อกำจัดวัชพืช ปกตินิยมพรวนดินอีกครั้งในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน ก่อนที่ดินจะแห้ง เพราะถ้าดินแห้งจะพรวนดินยาก
    ในกรณีที่ต้องการเร่งการออกหน่อ(กรณีพิเศษ)จะใส่ในช่วงต้นเดือน ก.พ.ถึง พ.ค. ปุ๋ยที่นิยมคือใช้ปุ๋ยคอกเป็นหลัก ในอัตรา 2-3กิโลกรัมต่อ กอ/เดือน   หรืออาจใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 13-13-21อัตรา 200กรัมต่อกอ และปุ๋ยเคมีสูตร 46-0-0   200กรัม/กอ (เร่งหน่อเพื่อขาย ก่อนหน่อไม้ไทยจะเริ่มออกหน่อ)

3.การไว้ลำและการตัดแต่งกอไผ่หวานลืมแล้ง
ไผ่หวานลืมแล้ง เมื่อปลูกได้ประมาณ  3-4 เดือนจะเริ่มแตกหน่อได้ประมาณ 2-3 ลำ ในระยะแรกนี้จะไม่มีการตัดหน่อเลย ปล่อยให้เป็นลำต่อไป การดูแลกอไผ่ในช่วงนี้จะทำการตัดลำต้นที่เล็กออกไป ไม่ต้องเสียดาย ให้เหลือไว้เฉพาะลำที่ใหญ่ ลำที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-1.5 นิ้วตัดทิ้งให้หมด วิธีการตัด ต้องตัดให้จมดิน อย่าให้มีตาเหลืออยู่อีก(ไม่ต้องการให้ขยายพันธุ์อีก)  กิ่งแขนงเล็กๆ บริเวณโคนต้นที่ขึ้นเกะกะของลำแม่ควรตัดแต่งให้โล่ง(แสงแดดส่องถึงพื้นได้) เพื่อสะดวกในการให้น้ำและดูแล เมื่อต้นไผ่อายุได้ประมาณ 7-8 เดือนจะมีหน่อแทงขึ้นมาอีก 5-6หน่อ ตอนนี้ก็ยังไม่มีการตัดหน่อ ปล่อยให้ไผ่เป็นลำต่อไป แต่ถ้าพื้นที่ตรงนั้นดินอุดมสมบูรณ์ดี หน่อออกเยอะเราควรตัดขายไปบ้าง เช่นถ้าขึ้นมา 5หน่อให้ตัดขายไป 3หน่อ แต่ให้เลือกเอาหน่อที่สมบูรณ์ไว้(หน่อที่เบียดกันให้ตัดออกขายไป) การดูแลกอไผ่เพียงแค่ตัดเอาหน่อเน่า ลำคดเอียงแคระแกร็นออกและตัดแต่งกิ่งแขนงเล็กๆทิ้ง รักษาลำไผ่ให้มีอยู่ประมาณ 5-6ลำ (ลำใหญ่ๆ)จากนั้นจึงเริ่มตัด  หน่อขายบ้าง การตัดหน่อขายนี้ควรจะตัดจากกลางกอก่อนแล้วขยายออกมารอบนอกกอ ซึ่งหน่อนอกๆ ต้องมีการรักษาไว้บ้างเพื่อให้เป็นลำแม่ โดยเลือกหน่อที่อวบใหญ่และอยู่ในลักษณะที่จะขยายออกเป็นวงกลมเพื่อจะทำให้กอใหญ่ขึ้น มีหน่อมากขึ้นในปีต่อไป สะดวกที่จะเข้าไปดูแลรักษาและตัดหน่อ
การตัดแต่งกอนั้น ควรทำติดต่อกันทุกๆ ปี  สำหรับไผ่หวานลืมแล้งนี้ควรแต่งกอไผ่ประมาณต้นเดือน  ก.ค.เพราะตอนนี้ ไผ่ชนิดอื่นกำลังออกหน่อ ช่วงนี้หน่อไม้ออกเยอะราคาไม่ค่อยดี ควรปล่อยหน่อให้เจริญเป็นลำแม่ได้เต็มที่ พอต้นเดือนตุลาคม จึงค่อยอัดปุ๋ยคอกและน้ำเพื่อเร่งการออกหน่อในช่วงหน้าหนาว และหน้าแล้ง ช่วงนี้ราคาของหน่อไผ่จะดีมาก (พ.ย.-พ.ค.)ของทุกปี

  1. การบังคับให้เกิดหน่อมากขึ้น
    ในการบังคับให้ไผ่หวานลืมแล้งแทงหน่อมากขึ้นตามฤดูกาลนั้น นอกจากการใส่ปุ๋ยและปฏิบัติดูแลตามปกติแล้ว ยังมีวิธีกระตุ้นให้ไผ่หวานแทงหน่อมากขึ้น โดยการสุมไฟในฤดูแล้งช่วงที่ลมสงบ(ปลายเดือน ม.ค-ก.พ.) โดยการรวบรวมใบไผ่และ กิ่งแขนง ที่ได้จากการตัดแต่งกิ่งแล้วนำมากองให้ห่างจากกอประมาณ 1 เมตร จุดไฟเผา แต่ต้องระวังไม่ให้ไฟกรรโชกมาก โดยการพรมน้ำช่วยหรืออาจเอาใบไผ่และกิ่งแขนงสุมในกอเลย แต่ต้องระวังไม่ให้ไฟลามไปติดส่วนบนๆ ของกอ ในการสุมไฟนั้น เข้าใจว่าเป็นการเร่งให้ไผ่หวานมีการพักตัวเร็วขึ้น (hardening) เมื่อก่อนเข้าสู่ฤดูฝนจะได้แทงหน่อมากขึ้น หลังจากที่ได้พักตัวอย่างเต็มที่และการสุมไฟยังช่วยในการกำจัดโรคและแมลงไปพร้อมกันด้วย
    นอกจากนี้ ยังมีวิธีการบังคับการออกหน่อวิธีอื่นอีก เช่น การพรวนดินแปลงไผ่หวานลืมแล้ ทั้งในระหว่างแถวและระหว่างต้น โดยทำการพรวนดินในช่วงก่อนฤดูแล้ง ประมาณเดือนก.ค.-ก.ย. เป็นการทำลายรากแก่เพื่อให้แตกรากใหม่ ดังนั้นในการพรวนดิน การให้น้ำ ให้ปุ๋ยอย่างสม่ำเสมอจะทำให้ไผ่หวานลืมแล้งออกหน่อ

เร็วและดกตลอดปี ส่วนการบังคับให้ไผ่หวานแทงหน่อนอกฤดูปกติก็ทำได้เช่นกัน โดยการบำรุงต้นด้วยการใส่ปุ๋ยเคมีเพิ่มรวมกับปุ๋ยคอกและการให้น้ำอย่างถูกต้อง ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จึงสามารถเร่งหน่อได้ และจะทำได้เฉพาะแปลงปลูกที่มีแหล่งน้ำอย่างเพียงพอเท่านั้น(จำเป็น)

  1. การป้องกันกำจัดแมลงศัตรูของไผ่
    ปกติไม่มีการระบาดรุนแรงของโรคและแมลงในสวนไผ่มากนัก มีเพียงแมลงพวกหนอนผีเสื้อกลางคืนมากัดกิน และม้วนใบไผ่เพื่อหลบซ่อนและเป็นที่อาศัยในระยะเป็นดักแด้บ้างเล็กน้อย แมลงที่เข้าทำลายหน่ออ่อนของไม้ไผ่ส่วนมากเป็นประเภทกัดกินหน่อ 4-5 ชนิด คือ หนอนด้วงเจาะหน่อไผ่(ไผ่หวานลืมแล้งไม่ค่อยเจอเพราะลำค่อนข้างตัน), ด้วงกินหน่อ, ด้วงงวงเจาะกิ่ง ,เพลี้ยอ่อนและมวนดูดน้ำเลี้ยง การควบคุมและกำจัดสามารถกระทำได้หลายวิธี คือ ภายหลังที่หน่อเริ่มแตกจากตาของเหง้าปล้องแล้ว ก็หาทางป้องกันพวกเชื้อราและแมลงที่เข้ามากัดกินและอาศัยอยู่ตามกาบของหน่ออ่อน โดยการใช้สารปราบศัตรูพืช เช่น มาลาไทออน ผสมน้ำราดที่หน่อและเหง้า หรือใช้ฟูราดาน ภูไมด์ หว่านลงที่ดิน แต่อย่านำหน่อไปบริโภคภายใน 60วัน หรือใช้วิธีควบคุมโดยการลิดกิ่ง หรือตัดลำแก่ที่เป็นที่อยู่ของดักแด้ออก แล้วทำลายหรือขายลำไป จึงเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยลดจำนวนประชากรแมลงได้  ส่วนมากแล้วไม่ค่อยพบปัญหาเกี่ยวกับโรคต่างๆในไผ่หวานลืมแล้ง แต่จะพบเพลี้ยตัวสีขาวๆเกิดขึ้นตามข้อไผ่อ่อน เราอาจใช้ผงซักฟอกละลายน้ำราดรดลงไปก็จะหาย  ถ้ามีจำนวนน้อยไม่มากนักก็ใช้มือขยี้ ถ้าจำเป็นต้องใช้เคมีก็ต้องใช้ชนิดอ่อนๆเช่น เซฟวิน ฉีดพ่นครับ

6.การตัดหน่อ

ไผ่หวานลืมแล้งจะแทงหน่อตลอดปีแต่จะดกมากเมื่อเริ่มเข้าฤดูฝน (เม.ย.-มิ.ย.)การตัดหน่อจะตัดเมื่อหน่อยาวประมาณ 1 ฟุต โดยใช้เสียมหางปลาตัดหน่อบริเวณกาบใบที่ 3 จากโคนหน่อ ซึ่งจะเหลือตาไว้ 2-3 ตา สำหรับแตกหน่อในช่วงถัดไป สำหรับหน่อที่ไม่แข็งแรงให้ตัดออกทิ้งไป การตัดหน่อควรทำตอนเช้ามืด เพื่อจะได้หน่อไม้สดส่งตลาด หน่อไม้ไผ่หวานลืมแล้ง(หน่อไม้หวาน)ที่ตัดไว้นาน ๆ จะทำให้ความหวานของหน่อลดลง ดังนั้น ควรตัดหน่อแล้วรีบขายทันที ในการตัดหน่อควรเริ่มตัดหน่อจากกลางกอก่อน แล้วขยายวงออกมารอบนอกกอ ส่วนหน่อที่อวบใหญ่ที่อยู่ด้านนอกควรมีการรักษาไว้เพื่อให้เป็นลำแม่เลี้ยงหน่อต่อไป

 

การขยายพันธุ์โดยการใช้กิ่งแขนง (การตอนแล้วนำมาชำกิ่ง)

การขยายพันธุ์กิ่งไผ่มีหลายวิธีครับ แต่สำหรับไผ่หวานลืมแล้งการขยายพันธุ์โดยการใช้กิ่งแขนงนี้ เป็นวิธีที่นิยมกันมากที่สุดเพราะง่าย สะดวก รวดเร็ว สามารถตัดชำกิ่งแขนงได้จำนวนมาก ความสำเร็จในการตอนและปักชำโดยใช้กิ่งแขนงขึ้นอยู่กับชนิดของไผ่ หากเป็นไผ่ที่มีรากอากาศบริเวณโคนกิ่ง เช่น ไผ่หวานลืมแล้ง จะมีความสำเร็จสูง ผมจึงขอแนะนำการขยายพันธุ์ไผ่ด้วยวิธีนี้ครับ

การเตรียมอุปกรณ์เพื่อตอนกิ่ง

  1. เลื่อยโค้งตัดแต่งกิ่ง2.มีดคม หรือ คัดเตอร์  3.กรรไกรแต่งกิ่ง 4.เทปพันสายไฟหรือเชือก   5. น้ำยาเร่งราก  6.ถุงพลาสติก(5*8)      7.หนังยาง

8.ดินที่ใช้สำหรับการตอนในถุงพลาสติก (ใยมะพร้าว2ส่วน+ดินที่ผสมขี้เถ้าแกลบ1ส่วน)

วิธีตอนกิ่งไผ่หวานลืมแล้ง

กิ่งแขนง คือกิ่งที่แตกจากตาบริเวณข้อต่อของลำไผ่ ความสำเร็จของการตอนกิ่งแขนงขึ้นอยู่กับการเลือกกิ่งแขนงและฤดูที่จะตอนด้วย ฤดูที่เหมาะในการตอนกิ่งแขนงของ ไผ่หวานลืมแล้ง คือ ปลายฤดูฝนช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคม ไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงที่มีกิ่งแขนงมาก การเลือกกิ่งแขนงควรเลือกกิ่งที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้วถึงนิ้วครึ่ง(ไม่แก่ไม่อ่อน) ที่มีรากอากาศเป็นสีน้ำตาลหรือน้ำตาลอมเหลือง และใบที่ยอดคลี่แล้ว กาบหุ้มตาหลุดหมด อายุของกิ่งแขนงอย่างน้อยต้องมีอายุ 4-6 เดือน ถ้าค้างปียิ่งดี เมื่อเลือกกิ่งแขนงได้ตามความต้องการแล้ว ให้ใช้เลื่อยโค้งเลื่อยตรงกลางระหว่างกิ่งแขนงกับลำไผ่ เลื่อยไปจนกิ่งแขนงเกือบขาด(80%)จากนั้นก็ดึงกิ่งแขนงให้แยกจากลำแม่ ให้เหลือเปลือกเขียวของลำแม่ให้บางที่สุด นำดินที่ใส่ถุงเตรียมไว้พร้อมที่จะตอน กรีดถุงด้านหนึ่งขนาดสี่เหลี่ยมผืนผ้าของถุงดินที่จะตอนทิ้งไป(2.5*3.5นิ้ว) นำน้ำยาเร่งรากราดใส่ถุงดินที่จะตอนให้ชุ่ม  ดันประกบจากด้านล่างเข้ากับกิ่งแขนง แล้วค่อยใช้เทปดำพันถุงดินที่ตอนให้แน่นเหลือช่องว่างให้น้ำเข้ามาได้ทางด้านบนเวลารดน้ำ ใช้เชือกฟางแก้วหรือเทปดำยึดกิ่งแขนงไว้กับลำไผ่กันลมโยก หมั่นรดน้ำให้ชุ่ม  5-10วัน รากจะออก

เราควรปล่อยให้รากออกเต็มที่จึงค่อย ตัดกิ่งที่ตอนได้ลงมาเพื่อใส่ถุงชำหลังจากนั้นรอให้กิ่งพันธุ์แตกใบอ่อนแสดงว่ารากเดินดีแล้วจึงค่อยนำลงแปลงปลูก ก่อนทำการปักชำควรมีการเตรียมดินที่จะนำมาใช้เป็นวัสดุเพาะชำ โดยการย่อยดินและผสมดินกับ(ขี้เถ้าแกลบ+ใยมะพร้าว)ในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 โดยประมาณ แล้วตากดินทิ้งไว้ 1-2 สัปดาห์ หรือมากกว่านั้น หลังจากให้นำกิ่งไผ่ที่ตอนแล้วลงถุง ควรกดดินให้แน่นแต่ต้องระวังไม่ให้รากขาด รดน้ำทันทีเพื่อให้กิ่งชำสดอยู่เสมอ

หลังจากนั้นหมั่นดูแลรดน้ำทุกวันหรือวันเว้นวัน จนกระทั่งกิ่งแขนงที่ชำแข็งแรงดีใช้เวลาประมาณ3-4อาทิตย์ ก็ย้ายลงปลูกในแปลงได้  เพื่อการค้าในปัจจุบันนิยมชำในถุงพลาสติกโดยตรงตั้งแต่แรกเพื่อป้องกันการกระทบกระเทือนขณะย้ายชำกล้าและสะดวกในการขนย้ายไปปลูกตามที่ต่างๆ ปกตินิยมใช้ถุงขนาด 5 x 8 ปักชำกิ่งไผ่เพื่อให้กิ่งไผ่ที่ตอนมาแตกใบและราก ตัดปลายกิ่งออก ให้กิ่งแขนงที่จะปักชำยาวประมาณ 80 – 100 เซนติเมตร มีข้อติดอยู่ 3-4 ข้อ (สำคัญรากต้องเต็ม) ผมเคยนำกิ่งตอนที่มีรากเต็มและตัดออกจากลำไผ่ นำมาปลูกปรากฏว่าการฟื้นตัวและการเจริญเติบโตของกิ่งไผ่เร็วมาก ไม่ตาย ขนส่งง่าย และสะดวกในการปลูก

 

อ้างอิง : คุณประหยัด  รักชาติ

ต.โพธิ์พระยา อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี 72000

Email   P_southsea@yahoo.com

 

Posted under อาชีพน่าสนใจ

สสวท. เผยผลประเมินความรู้ด้านไอซีที เด็กไทยเทียบนานาชาติ พบอยู่รองบ๊วยจากผู้เข้าร่วม 14 ประเทศ แนะปรับปรุงหลักสูตรกลาง ฝึกเด็กใช้ทักษะแก้ปัญหา อบรมครูทุกวิชาใช้ไอซีทีในการสอน

วันนี้ (21 พ.ย.) สถาบันส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) จัดแถลงข่าวผลการวิจัยโครงการประเมินการเรียนรู้คอมพิวเตอร์และสารสนเทศ ของนักเรียนไทยเทียบกับนานาชาติ โดยมี รศ.ดร.พินิติ รตะนานุ เลขาธิการสภาการศึกษา ดร.สุพัตรา ผาติวิสันต์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สสวท. และดร.ชัยวุฒิ เลิศวนสิริวรรณ ผู้ช่วยนวัตกรรมเพื่อการเรียนรู้ สสวท. ร่วมแถลงข่าว

ดร.ชัยวุฒิ กล่าวว่า โครงการดังกล่าวจัดขึ้นโดยสมาคมนานาชาติที่ทำหน้าที่ประเมินผลด้านการศึกษา หรือ ไออีเอ เพื่อประเมินผลเกี่ยวกับการรู้คอมพิวเตอร์และสารสนเทศ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยสอบถามผู้บริหารโรงเรียน ครู นักเรียน และผู้รับผิดชอบด้านไอซีทีของโรงเรียนในเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้คอมพิวเตอร์และสารสนเทศ ซึ่งมีประเทศที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 20 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย อาร์เจนตินา แคนาดา สวิตเซอร์แลนด์ ชิลี โครเอเชีย สาธารณรัฐเช็ก เดนมาร์ก ฮ่องกง เยอรมนี เกาหลีใต้ ลิธัวเนีย เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ โปแลนด์ สาธารณรัฐสโลวัก สโลวีเนีย รัสเซีย ตุรกี และ ไทย โดยมีนักเรียนกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดที่เข้าร่วมประเมินทั้งสิ้น 59,430 คน ในส่วนของประเทศไทยได้ใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้น ม.2 ในสถานศึกษาทุกสังกัด 3,646 คน จาก 198 โรงเรียน อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ประเทศอาร์เจนตินา และ แคนาดา ขอเข้าร่วมสังเกตการณ์ก่อน ส่วนอีก 4 ประเทศ ได้แก่ เดนมาร์ก ฮ่องกง เนเธอร์แลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์ ข้อมูลไม่ครบตามที่โครงการกำหนด จึงถูกตัดสิทธิ์ ส่งผลให้เหลือประเทศที่เข้ารับการประเมินทั้งหมด 14 ประเทศ

ดร.ชัยวุฒิ กล่าวต่อไปว่า ทางโครงการได้กำหนดให้ค่าคะแนนเฉลี่ยของผลการทดสอบ เท่ากับ 500 คะแนน ซึ่งผลประเมินพบว่า ประเทศที่ได้คะแนนสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ตั้งไว้ อันดับ 1 คือ สาธารณรัฐเช็ก ได้ 553 คะแนน รองลงมาคือ ออสเตรเลีย ได้ 542 คะแนน โปแลนด์ และ นอร์เวย์ ได้ 537 คะแนน เกาหลีใต้ ได้ 536 คะแนน เยอรมนี ได้ 523 คะแนน สาธารณรัฐสโลวัก ได้ 517 คะแนน รัสเซีย ได้ 516 คะแนน โครเอเชีย ได้ 512 คะแนน และ สโลวีเนีย ได้ 511 คะแนน ส่วนประเทศที่ได้คะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ตั้งไว้ คือ ลิธัวเนีย ได้ 494 คะแนน ชิลี ได้ 487 คะแนน ส่วนประเทศไทย อยู่ในอันดับที่ 13 ได้ 373 คะแนน ซึ่งเป็นอันดับสองนับจากท้าย ที่ได้คะแนนต่ำสุด คือ ตุรกี ได้ 361 คะแนน สำหรับประเทศไทยเมื่อจำแนกผลการประเมินตามสังกัด พบว่า นักเรียนในโรงเรียนสาธิต สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ได้คะแนนเฉลี่ย 518 คะแนน ถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยนานาชาติที่ตั้งไว้ และสูงกว่าโรงเรียนในสังกัดอื่นๆ รองลงมา คือโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ได้ 395 คะแนน โรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่เปิดสอนเฉพาะ ม.1 – 6 ได้ 382 คะแนน โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร ได้ 377 คะแนน โรงเรียนสังกัดเทศบาล/ท้องถิ่น ได้ 346 คะแนน และโรงเรียนขยายโอกาสสังกัด สพฐ. ได้ 330 คะแนน

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาผลการประเมินในแต่ละด้าน พบว่า คะแนนด้านการรู้คอมพิวเตอร์ และสารสนเทศของนักเรียนมีความสำคัญอย่างมาก กับค่าดรรชนีการพัฒนา ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของแต่ละประเทศ โดยประเทศที่มีค่าดรรชนีการพัฒนาด้านไอซีทีสูง ก็มีแนวโน้มที่ผลคะแนนจะสูง สำหรับประเทศไทยมีค่าดัชนีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีฯ ต่ำที่สุด นอกจากนี้ ยังพบว่า พื้นฐานทางสังคมและเศรษฐกิจของผู้ปกครองมีความสัมพันธ์กับคะแนนด้านการรู้คอมพิวเตอร์และสารสนเทศของนักเรียน ซึ่งถ้าผู้ปกครองมีพื้นฐานทางสังคมและเศรษฐกิจที่สูง ก็มีแนวโน้มที่นักเรียนจะมีคะแนนสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งประเทศไทยนั้นนักเรียน 61% ผู้ปกครองมีพื้นฐานทางสังคมและเศรษฐกิจอยู่ในระดับต่ำ จึงส่งผลให้คะแนนเฉลี่ยต่ำลงไปด้วย ขณะเดียวกันยังพบว่าครอบครัวที่มีคอมพิวเตอร์ที่บ้าน จะทำให้นักเรียนมีคะแนนสูงขึ้น ซึ่งในส่วนของประเทศไทยยังมีครอบครัวที่ไม่มีคอมพิวเตอร์ที่บ้านอยู่ถึง 28% ปัจจัยต่อมา คือ สัดส่วนนักเรียนต่อคอมพิวเตอร์ที่โรงเรียน พบว่า ยิ่งสัดส่วนนักเรียนต่อคอมพิวเตอร์น้อย คะแนนเฉลี่ยจะยิ่งสูง ประสบการณ์การใช้คอมพิวเตอร์ของครู มีผลต่อการเรียนรู้ของเด็ก ซึ่งในส่วนของประเทศไทยพบว่ามีครูที่ไม่เคยใช้คอมพิวเตอร์ อยู่ 8% ขณะที่ประเทศอื่นๆ ที่ร่วมประเมินอยู่ที่ 5%

“จากการประเมินครั้งนี้มีข้อเสนอแนะว่า ควรต้องมีการปรับปรุง สาระการเรียนรู้ของหลักสูตรแกนกลาง ที่แสดงให้เห็นกระบวนการและทักษะที่จะเกิดกับผู้เรียนโดยเฉพาะทักษะที่ทำให้เกิดการคิดวิเคราะห์ รวมทั้งควรปรับวิธีการวัดและประเมินผลให้สอดคล้องกันเพราะปัจจุบันครูเน้นสอน และวัดผลแต่โปรแกรมสำนักงาน ไม่ฝึกให้เด็กรู้จักใช้ทักษะและกระบวนการแก้ปัญหา นอกจากนี้ต้องปรับโครงสร้างหลักสูตรวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร มาอยู่ในกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ จากเดิมที่อยู่ในกลุ่มสาระการงานพื้นฐานอาชีพและเทคโนโลยี ในปัจจุบัน ควรจัดอบรมครูในทุกวิชาให้สามารถใช้ไอซีทีในการเรียนการสอนได้ เปิดโอกาสให้นักเรียนเข้าถึงไอซีทีเพื่อประโยชน์ในการเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลาทั้งในโรงเรียนและที่บ้าน” ดร.ชัยวุฒิ  กล่าว

รศ.ดร.พินิติ กล่าวว่า หลังจากนี้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จะนำผลการประเมินครั้งนี้มาเป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลที่นำไปใช้ในการปฏิรูปการศึกษาภาพรวมของประเทศ โดยต้องนำผลประเมินมาวิเคราะห์และปรับตามข้อเสนอแนะ ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน ครู นักเรียน และหลักสูตร

ขอขอบคุณข่าวสาร/ข้อมูลดีๆ จากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการ
Posted under การพัฒนาการศึกษา

กสม. ออกแถลงการณ์ค้าน ศธ. ยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก ชี้ ละเมิดสิทธิการศึกษาเด็กนักเรียนตาม รธน.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 20 พ.ย. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ออกแถลงการณ์เรื่องสิทธิเด็กอันเกี่ยวเนื่องกับความเสมอภาคทางการศึกษา กรณีคัดค้านนโยบายยุบควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก เนื่องจากมีผู้ร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิฯ เกี่ยวกับคัดค้านนโยบายยุบ ควบรวม โรงเรียนขนาดเล็กของกระทรวงศึกษาธิการ เนื่องจากเห็นว่าเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพในการศึกษาของเด็กนักเรียน ซึ่งคณะกรรมการสิทธิฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบโดยรับฟังคำชี้แจงจากหน่วยงาน นักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิ การลงพื้นที่ และจัดเสวนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นแล้ว

คณะกรรมาการสิทธิฯ มีความเห็นและมีมติ เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2557 ที่ผ่านมา ว่า นโยบายยุบควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กของกระทรวงศึกษาธิการ เป็นนโยบายที่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพในการศึกษาของเด็กนักเรียน เนื่องจากตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ข้อ 3 และข้อ 28 และหลักการตามรัฐธรรมนูญให้คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นอันดับแรก เด็กต้องได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพื่อการพัฒนาทั้งด้านร่างกาย สมอง จิตใจ ศีลธรรม และจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ ซึ่งการจัดการศึกษาเพื่อให้เด็กได้พัฒนาในมิติที่รอบด้าน เป็นเรื่องของรัฐที่จะต้องดำเนินการและลงทุน

คณะกรรมการสิทธิฯ จึงได้กำหนดมาตรการการแก้ไขปัญหาต่อกระทรวงศึกษาธิการ โดยให้ปรับลดงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ไม่จำเป็น และไม่คุ้มค่ากับการลงทุน กระจายอำนาจการจัดการศึกษาไปสู่เขตพื้นที่การศึกษา สถานศึกษา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงมหาดไทยต้องจัดงบประมาณ เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจหน้าที่จัดการศึกษาร่วมกับชุมชน กระทรวงศึกษาธิการ ควรปรับยุทธศาสตร์การบริหารจัดการการศึกษาโดยเน้นเป้าหมายในการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา หลักสูตร วิธีการสอน รวมทั้งระดมบุคลากรที่มีศักยภาพ เช่น ปราชญ์ชาวบ้าน เพื่อให้เข้ามาสนับสนุนการเรียนการสอนในโรงเรียนขนาดเล็กให้มีคุณภาพและสอดคล้องกับวิถีชุมชนในแต่ละพื้นที่

นอกจากนี้ เห็นว่า การจัดการศึกษาต้องตระหนักถึงการมีส่วนร่วมของบิดามารดา ผู้ปกครอง ชุมชนและภาคประชาสังคม ภายใต้แนวคิดรูปแบบและกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลายผ่านความสัมพันธ์กับครอบครัว ชุมชน สังคม วัฒนธรรมในท้องถิ่นและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เด็กได้รับการพัฒนาในมิติที่รอบด้านและนำไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ อีกทั้ง กระทรวงศึกษาธิการควรพิจารณายกเลิกหรือปรับปรุงระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วย การจัดตั้ง รวม หรือเลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2550 ในส่วนที่เกี่ยวกับการรวม หรือเลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และพิจารณาทบทวนแก้ไขมาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 เพื่อให้สอดคล้องกับสิทธิในการได้รับการศึกษาของเด็ก ตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กและรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการสิทธิฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงมหาดไทย จะดำเนินการตามข้อเสนอและมาตรการดังกล่าว

ขอขอบคุณข่าวสาร/ข้อมูลดีๆ จากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการ
Posted under การพัฒนาการศึกษา

สสวท. เผยผลประเมินความรู้ด้านไอซีที เด็กไทยเทียบนานาชาติ พบอยู่รองบ๊วยจากผู้เข้าร่วม 14 ประเทศ แนะปรับปรุงหลักสูตรกลาง ฝึกเด็กใช้ทักษะแก้ปัญหา อบรมครูทุกวิชาใช้ไอซีทีในการสอน

วันนี้ (21 พ.ย.) สถาบันส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) จัดแถลงข่าวผลการวิจัยโครงการประเมินการเรียนรู้คอมพิวเตอร์และสารสนเทศ ของนักเรียนไทยเทียบกับนานาชาติ โดยมี รศ.ดร.พินิติ รตะนานุ เลขาธิการสภาการศึกษา ดร.สุพัตรา ผาติวิสันต์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สสวท. และดร.ชัยวุฒิ เลิศวนสิริวรรณ ผู้ช่วยนวัตกรรมเพื่อการเรียนรู้ สสวท. ร่วมแถลงข่าว

ดร.ชัยวุฒิ กล่าวว่า โครงการดังกล่าวจัดขึ้นโดยสมาคมนานาชาติที่ทำหน้าที่ประเมินผลด้านการศึกษา หรือ ไออีเอ เพื่อประเมินผลเกี่ยวกับการรู้คอมพิวเตอร์และสารสนเทศ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยสอบถามผู้บริหารโรงเรียน ครู นักเรียน และผู้รับผิดชอบด้านไอซีทีของโรงเรียนในเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้คอมพิวเตอร์และสารสนเทศ ซึ่งมีประเทศที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 20 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย อาร์เจนตินา แคนาดา สวิตเซอร์แลนด์ ชิลี โครเอเชีย สาธารณรัฐเช็ก เดนมาร์ก ฮ่องกง เยอรมนี เกาหลีใต้ ลิธัวเนีย เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ โปแลนด์ สาธารณรัฐสโลวัก สโลวีเนีย รัสเซีย ตุรกี และ ไทย โดยมีนักเรียนกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดที่เข้าร่วมประเมินทั้งสิ้น 59,430 คน ในส่วนของประเทศไทยได้ใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้น ม.2 ในสถานศึกษาทุกสังกัด 3,646 คน จาก 198 โรงเรียน อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ประเทศอาร์เจนตินา และ แคนาดา ขอเข้าร่วมสังเกตการณ์ก่อน ส่วนอีก 4 ประเทศ ได้แก่ เดนมาร์ก ฮ่องกง เนเธอร์แลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์ ข้อมูลไม่ครบตามที่โครงการกำหนด จึงถูกตัดสิทธิ์ ส่งผลให้เหลือประเทศที่เข้ารับการประเมินทั้งหมด 14 ประเทศ

ดร.ชัยวุฒิ กล่าวต่อไปว่า ทางโครงการได้กำหนดให้ค่าคะแนนเฉลี่ยของผลการทดสอบ เท่ากับ 500 คะแนน ซึ่งผลประเมินพบว่า ประเทศที่ได้คะแนนสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ตั้งไว้ อันดับ 1 คือ สาธารณรัฐเช็ก ได้ 553 คะแนน รองลงมาคือ ออสเตรเลีย ได้ 542 คะแนน โปแลนด์ และ นอร์เวย์ ได้ 537 คะแนน เกาหลีใต้ ได้ 536 คะแนน เยอรมนี ได้ 523 คะแนน สาธารณรัฐสโลวัก ได้ 517 คะแนน รัสเซีย ได้ 516 คะแนน โครเอเชีย ได้ 512 คะแนน และ สโลวีเนีย ได้ 511 คะแนน ส่วนประเทศที่ได้คะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ตั้งไว้ คือ ลิธัวเนีย ได้ 494 คะแนน ชิลี ได้ 487 คะแนน ส่วนประเทศไทย อยู่ในอันดับที่ 13 ได้ 373 คะแนน ซึ่งเป็นอันดับสองนับจากท้าย ที่ได้คะแนนต่ำสุด คือ ตุรกี ได้ 361 คะแนน สำหรับประเทศไทยเมื่อจำแนกผลการประเมินตามสังกัด พบว่า นักเรียนในโรงเรียนสาธิต สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ได้คะแนนเฉลี่ย 518 คะแนน ถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยนานาชาติที่ตั้งไว้ และสูงกว่าโรงเรียนในสังกัดอื่นๆ รองลงมา คือโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ได้ 395 คะแนน โรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่เปิดสอนเฉพาะ ม.1 – 6 ได้ 382 คะแนน โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร ได้ 377 คะแนน โรงเรียนสังกัดเทศบาล/ท้องถิ่น ได้ 346 คะแนน และโรงเรียนขยายโอกาสสังกัด สพฐ. ได้ 330 คะแนน

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาผลการประเมินในแต่ละด้าน พบว่า คะแนนด้านการรู้คอมพิวเตอร์ และสารสนเทศของนักเรียนมีความสำคัญอย่างมาก กับค่าดรรชนีการพัฒนา ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของแต่ละประเทศ โดยประเทศที่มีค่าดรรชนีการพัฒนาด้านไอซีทีสูง ก็มีแนวโน้มที่ผลคะแนนจะสูง สำหรับประเทศไทยมีค่าดัชนีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีฯ ต่ำที่สุด นอกจากนี้ ยังพบว่า พื้นฐานทางสังคมและเศรษฐกิจของผู้ปกครองมีความสัมพันธ์กับคะแนนด้านการรู้คอมพิวเตอร์และสารสนเทศของนักเรียน ซึ่งถ้าผู้ปกครองมีพื้นฐานทางสังคมและเศรษฐกิจที่สูง ก็มีแนวโน้มที่นักเรียนจะมีคะแนนสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งประเทศไทยนั้นนักเรียน 61% ผู้ปกครองมีพื้นฐานทางสังคมและเศรษฐกิจอยู่ในระดับต่ำ จึงส่งผลให้คะแนนเฉลี่ยต่ำลงไปด้วย ขณะเดียวกันยังพบว่าครอบครัวที่มีคอมพิวเตอร์ที่บ้าน จะทำให้นักเรียนมีคะแนนสูงขึ้น ซึ่งในส่วนของประเทศไทยยังมีครอบครัวที่ไม่มีคอมพิวเตอร์ที่บ้านอยู่ถึง 28% ปัจจัยต่อมา คือ สัดส่วนนักเรียนต่อคอมพิวเตอร์ที่โรงเรียน พบว่า ยิ่งสัดส่วนนักเรียนต่อคอมพิวเตอร์น้อย คะแนนเฉลี่ยจะยิ่งสูง ประสบการณ์การใช้คอมพิวเตอร์ของครู มีผลต่อการเรียนรู้ของเด็ก ซึ่งในส่วนของประเทศไทยพบว่ามีครูที่ไม่เคยใช้คอมพิวเตอร์ อยู่ 8% ขณะที่ประเทศอื่นๆ ที่ร่วมประเมินอยู่ที่ 5%

“จากการประเมินครั้งนี้มีข้อเสนอแนะว่า ควรต้องมีการปรับปรุง สาระการเรียนรู้ของหลักสูตรแกนกลาง ที่แสดงให้เห็นกระบวนการและทักษะที่จะเกิดกับผู้เรียนโดยเฉพาะทักษะที่ทำให้เกิดการคิดวิเคราะห์ รวมทั้งควรปรับวิธีการวัดและประเมินผลให้สอดคล้องกันเพราะปัจจุบันครูเน้นสอน และวัดผลแต่โปรแกรมสำนักงาน ไม่ฝึกให้เด็กรู้จักใช้ทักษะและกระบวนการแก้ปัญหา นอกจากนี้ต้องปรับโครงสร้างหลักสูตรวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร มาอยู่ในกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ จากเดิมที่อยู่ในกลุ่มสาระการงานพื้นฐานอาชีพและเทคโนโลยี ในปัจจุบัน ควรจัดอบรมครูในทุกวิชาให้สามารถใช้ไอซีทีในการเรียนการสอนได้ เปิดโอกาสให้นักเรียนเข้าถึงไอซีทีเพื่อประโยชน์ในการเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลาทั้งในโรงเรียนและที่บ้าน” ดร.ชัยวุฒิ  กล่าว

รศ.ดร.พินิติ กล่าวว่า หลังจากนี้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จะนำผลการประเมินครั้งนี้มาเป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลที่นำไปใช้ในการปฏิรูปการศึกษาภาพรวมของประเทศ โดยต้องนำผลประเมินมาวิเคราะห์และปรับตามข้อเสนอแนะ ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน ครู นักเรียน และหลักสูตร

ขอขอบคุณข่าวสาร/ข้อมูลดีๆ จากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการ
Posted under การพัฒนาการศึกษา

9 นโยบายของ คสช.ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

ศึกษาธิการ – ดร.สุทธศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมผู้บริหารองค์กรหลัก ครั้งที่ 18/2557 เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2557 โดยมีประเด็นสำคัญสรุปดังนี้

  • การรายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการ/กิจกรรมของกระทรวงศึกษาธิการ ที่สอดคล้องกับนโยบายของ คสช.

ที่ประชุมรับทราบ กรอบในการรายงานผลการปฏิบัติงานและการขับเคลื่อนนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งแผนงาน/โครงการเร่งด่วนใน 4 เดือนที่เหลือ (มิถุนายน-กันยายน 2557) จำนวนทั้งสิ้น 7 โครงการ และแนวทางที่จะดำเนินงานตามนโยบาย คสช. ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

7 แผนงาน/โครงการเร่งด่วน  คือ 1) โครงการสร้างความเข้าใจความรักสามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์ ความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ภูมิใจในความเป็นไทย 2) แนวทางการพัฒนาการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง 3) ปรับการเรียนการสอนภาษาไทยและภาษาต่างประเทศให้สามารถสื่อสารได้ 4) การเยียวยาและช่วยเหลือนักเรียน ครู ผู้บริหารในจังหวัดชายแดนภาคใต้ 5) กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) 6) โครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้แท็บเล็ต 7) สรุปการเสนอขอรับการสนับสนุนงบกลาง เพื่อช่วยเหลือสถานศึกษาที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว

9 นโยบายของ คสช.ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

1) สร้างสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการสร้างความปรองดอง สมานฉันท์ ความสามัคคี
2) เพิ่มและกระจายโอกาสทางการศึกษาให้ประชาชนอย่างเท่าเทียม
3) เพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ โดยเน้นผลิตและพัฒนากำลังคนระดับกลางและระดับสูงที่มีคุณภาพ และส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเพื่อการพัฒนาประเทศ
4) ยกระดับคุณภาพการศึกษา โดยปฏิรูปหลักสูตร การเรียนการสอน เน้นกระบวนการคิดเชิงระบบ ปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ความมีวินัย จิตสำนึกความเป็นไทย ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน และยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา
5) ปฏิรูปครู โดยเน้นการผลิตและพัฒนาครูคุณภาพ และให้คนเก่งคนดีมาเป็นครู
6) ปฏิรูประบบการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ เน้นการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนของสังคม และการกระจายอำนาจ
7) พัฒนาการจัดการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้
8) เตรียมความพร้อมเพื่อการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
9) พัฒนาระบบการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาให้ทันสมัย

ทั้งนี้ ที่ประชุมขอให้สำนักงานรัฐมนตรี (สร.) ประสานงานและรวบรวมความคืบหน้าแผนงาน/โครงการ ของแต่ละหน่วยงาน ให้กับคณะทำงานติดตามและรายงานการดำเนินงานตามนโยบาย คสช. ของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งมีนายวรัท พฤกษากุลนันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานศึกษาธิการภาค 13  เป็นประธานคณะทำงาน เพื่อรายงานให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยาทราบ ทุกวันพุธในแต่ละสัปดาห์ และรายงานให้ที่ประชุมองค์กรหลักรับทราบในการประชุมครั้งต่อไปด้วย

  • การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2558 ของกระทรวงศึกษาธิการ

ที่ประชุมรับทราบยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2558 ของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งดำเนินการตาม 8 ยุทธศาสตร์ 1 รายการ คือ

1) ยุทธศาสตร์การฟื้นฟูความเชื่อมั่นและการเร่งรัดวางรากฐานที่ดีของประเทศ
2) ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งรัฐ
3) ยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและเป็นธรรม
4) ยุทธศาสตร์การศึกษา สาธารณสุข คุณธรรม จริยธรรม และคุณภาพชีวิต
5) ยุทธศาสตร์การจัดสรรทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม
6) ยุทธศาสตร์การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัย และนวัตกรรม
7) ยุทธศาสตร์การต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
8) ยุทธศาสตร์การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
9) รายการค่าดำเนินการภาครัฐ

ที่ประชุมขอให้แต่ละหน่วยงาน ศธ. ได้จัดทำแผนงาน/โครงการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณดังกล่าว ซึ่งจะเป็นการบูรณาการจัดทำงบประมาณในแต่ละโครงการ โดยขอให้รวบรวมเสนอคำของบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2558 ไปยังสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการภายในวันพุธที่ 18 มิถุนายนนี้ เพื่อรวบรวมเสนอขอไปยังฝ่ายสังคมจิตวิทยาพิจารณา ตามปฏิทินงบประมาณในวันที่ 20 มิถุนายน 2557 ต่อไป

  • การจัดทำ Roadmap การปฏิรูปการศึกษาเพื่อพัฒนาคนอย่างยั่งยืน

ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้า (ร่าง) Roadmap การปฏิรูปการศึกษาเพื่อพัฒนาคนอย่างยั่งยืน ของกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาให้คนไทยเป็นคนดี มีความรู้ ความสามารถ สมานฉันท์ มีศักยภาพในการแข่งขัน ซึ่งเน้น 6 เรื่องที่สำคัญ คือ ปฏิรูปครู เพิ่มและกระจายโอกาสอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ปฏิรูปการบริหารจัดการ การผลิตและพัฒนากำลังคนเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ปฏิรูปการเรียนรู้ และวางระบบการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา

ทั้งนี้ จะเน้นการขับเคลื่อนทั้งระยะเร่งด่วน ระยะกลาง และระยะยาว โดยจะมีกลไกในการขับเคลื่อน เช่น ให้มีคณะกรรมการระดับชาติจัดทำข้อเสนอแนวทางการปฏิรูปการศึกษา การปรับปรุงกฎหมายหรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง การจัดทำแผนการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ เป็นต้น

  • แนวทางเสริมสร้างการปรองดองสมานฉันท์ ของกระทรวงศึกษาธิการ

ที่ประชุมขอให้แต่ละหน่วยงานรายงานโครงการ/กิจกรรมต่างๆ เพื่อเสริมสร้างการปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ ตามแนวทางของศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป (ศปป.) ที่ต้องการดำเนินการ หรือที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ทุกๆ สัปดาห์ โดยโครงการที่ ศธ.จะเน้นดำเนินการใน 3 กลุ่มเป้าหมาย คือ 1) กลุ่มนักเรียนนักศึกษา 2) กลุ่มครู/ผู้บริหาร/บุคลากรทางการศึกษา 3) กลุ่มผู้ปกครอง/เครือข่าย ส่วนในระดับภูมิภาคนั้น ศธ.พร้อมสนับสนุนให้หน่วยงานต่างๆ เข้าร่วมโครงการ/กิจกรรมที่ กอ.รมน.ภาค/จังหวัดจัดขึ้น

 

ขอขอบคุณข่าวสาร/ข้อมูลดีๆ จากเว็บไซต์ กระทรวงศึกษาธิการ

 

Posted under การพัฒนาการศึกษา

ทักษะที่สำคัญของคนไอทีในการทำงานในปี 2014

ทักษะที่สำคัญของคนไอทีในการทำงานในปี 2014

»by: Zobisnetwork, เมื่อ 13-09-2013 06:19น. , แก้ไขล่าสุดเมื่อ 13-09-2013 06:19น. | View : 1767

IT Technology Trends 2014 for Thailand from IMC Institute

1) Smartphone/Tablet Explosion:Post-PC Era

กระแสการใช้ Smartphone และ Tablet บ้านเราก็ยังแรงต่อเนื่อง และการใช้ไอทีในบ้านเราก็เข้าสู่ยุคหลังพีซีอย่างแท้จริงจากเดิมที่ผู้ใช้ไอทีจะใช้เครื่องพีซีที่มีระบบปฎิบัติการ  Windows เป็นหลัก แต่วันนี้ผู้ใช้ไอทีจะมีอุปกรณ์และระบบปฎิบัติการที่หลากหลายและ  Windows เป็นเพียงหนึ่งในตัวเลือก

ข้อมูลล่าสุดจากกสทช.จำนวนผู้ใช้โทรศัพท์เครื่องที่ในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 89.98 ล้านเลขหมาย ซึ่งคิดเป็น 131.84% ของประชากร และในจำนวนนี้คาดว่า 31% ของประชากรไทยมีการใช้งาน Smartphone [ข้อมูลจาก  Our Mobile Planet] และถ้าบริษัทวิจัย GfK ก็ระบุว่าใน 4 เดือนของปี 2013  มีเครื่อง Smartphone จำหน่ายไปแล้วกว่า 2.87 ล้านเครื่อง โดยคาดการณ์ยอดจำหน่ายทั้งปีประมาณ 7.5 ล้านเครื่องจากเครื่องโทรศัพท์มือถือ 16  ล้านเครื่อง

ในด้านของอุปกรณ์เราจะเห็นว่าข้อมูลจากการสำรวจของสวทช.ระบุว่าปีที่แล้วเรามียอดจำหน่ายเครื่องเดสต์ท็อปพีซี 1.26  ล้านเครื่อง Notebook 2.1 ล้านเครื่อง และ Tablet 1.3 ล้านเครื่อง ซึ่งในปีนี้ทาง IDC คาดการณ์ว่ายอดจำหน่าย Tablet จะพุ่งขึ้นสูงถึง 3.5  ล้านเครื่องทั้งนี้จากนโยบาย OTPC  ของรัฐบาล และจะมียอดของ Notebook 2.5 ล้านเครื่อง และ เดสต์ท็อปพีซี 1.5  ล้านเครื่อง

ข้อมูลจาก Gartner เมื่อเดือนเมษายน 2013 ก็ระบุให้เห็นเช่นกันว่ายอดจำหน่ายเครื่องพีซีทั้งเดสต์ท็อปและ Notebook ทั่วโลก จะมีแนวโน้มที่จะลดลงอย่างต่อเนื่องคือประมาณการณ์ว่าจาก 315  ล้านเครื่องต่อปีในปี 2013  เหลือเพียง 271  ล้านเครื่องต่อปีในปี 2017 ในขณะที่ยอดจำหน่าย Tablet ทั่วโลกจะแซงหน้ายอดของเครื่องพีซีโดยจะมีจำนวน  467  ล้านเครื่องต่อปีในปี 2017

สำหรับสัดส่วนการตลาดของเครื่อง Smartphone  และ Tablet  ทาง IDC ได้เปิดเผยข้อมูลยอดจำหน่ายในไตรมาสสองปีนี้ให้เห็นว่าเครื่องที่ใช้ระบบปฎิบัติการ  Android มีสัดส่วนที่แซงหน้ารับบปฎิบัติการ iOS ของ Apple  ไปอย่างมากโดยมีสัดส่วนการตลาด Smartphone ถึง  79% เมื่อเทียบกับ   iOS  ที่ลดลงเหลือเพียง  13% และก็มีสัดส่วนการตลาดของ  Tablet  62.6% เมื่อเทียบกับ   iPad  ที่ลดลงเหลือเพียง  32.5% ทั้งๆที่ในไตรมาสสองปีที่แล้ว iPad มีสัดส่วนการตลาดนำ  Android ถึง 60% ต่อ 38%  ซึ่งแนวโน้มนี้ก็สอดคล้องกับตลาดในประเทศไทยที่ทาง GfK ระบุว่า ตลาด Smartphone ในประเทศไทยเป็นระบบ  Android  70% เมื่อเทียบกับ iOS ที่ 20%

2)  Cloud Computing: From Personal Cloud to SaaS

กระแสไอทีที่น่าจะมาแรงในปีหน้าอีกเรื่องก็คือ Software as a Service (SaaS)  ทั้งนี้เนื่องจากผู้ใช้ไอทีในบ้านเราที่เริ่มคุ้นเคยกับการใช้ Cloud  โดยเฉพาะ  Personal Cloud  ที่เป็นการใช้  Storage as a Service  อาทิเช่น  Dropbox, iCloud  หรือ Google Drive ประกอบกับบริษัทซอฟต์แวร์ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศเริ่มให้บริการ  SaaS ในประเทศไทยมากขึ้น และเริ่มมีการทำตลาดในประเทศไทย อาทิเช่น   Creative Cloud  ของ Adobe ที่เลิกทำ Packaged Software แล้วมาทำตลาด SaaS อย่างเดียว ก็ทำราคาในประเทศไทยแบบรายเดือนที่เริ่มต้นตั้งแต่ 600 บาท หรือทาง ไมโครซอฟต์เองก็ประกาศจำหน่ายโปรแกรม Office 365 ที่เป็น Home Edition ในราคา 2,290 บาทต่อปีที่มาพร้อมกับพื้นที่บน SkyDrive และการใช้โทร Skype

นอกจากนี้ข้อมูลจากรายงานของ PwC  เมื่อเดือนพฤษภาคม 2013  ก็แสดงให้เห็นว่าตลาดซอฟต์แวร์ SaaS  ซึ่งในปี 2011 มีมูลค่าตลาดรวมเพียง 7 พันล้านเหรียญสหรัฐและคิดเป็นสัดส่วนเพียง 7  % ของมูลค่าการตลาดซอฟต์แวร์ทั้งโลก จะโตขึ้นเป็น 24% ในปี 2016    ซึ่งเป็นการสนับสนุนให้เห็นว่ากระแสของ SaaS  จะโตขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ทั่วไปและกลุ่ม SME

สุดท้ายผมได้ไปดูข้อมูลจาก  Google Trends ที่เปรียบเทียบการค้นหาข้อมูลต่างๆ ที่จะเห็นได้ว่าแม้กลุ่มของ Storage as a Service  เช่น  Dropbox จะเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในบ้านเรา แต่ในช่วงปีที่ผ่านมาคำว่า  Office 365 หรือ  Google Apps ก็เริ่มเป็นที่รู้จักเพิ่มขึ้น

3)  Online Consumerization: Social Networks / 3G /Broadband

การเปิดให้บริการ  3G   อย่างเต็มรูปแบบของผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทยจะทำให้คนไทยใช้บริการออนไลน์มากขึ้น ได้ทุกที่ทุกเวลา ซึ่งจากข้อมูลของ TrueHits  แสดงให้เห็นว่าในป้จจุบันเรามีประชากรอินเตอร์เน็ตในประเทศจำนวน 23.86 ล้านคนหรือคิดเป็นอัตราส่วน 35.8% และเรายังมีการเชื่อมต่อ   Broadband  ตามบ้านถึง 4.55  ล้านหลัง หรือคิดเป็น 22.7%  ของจำนวนที่อยู่อาศัย นอกจากนี้คนไทยยังใช้งาน Social Networks ค่อนข้างสูง โดยได้เปลี่ยนรูปแบบการสื่อสารแบบเดิมมาสู่สังคมออนไลน์มากขึ้น โดยข้อมูลจาก ZocialRank ระบุว่าเรามีจำนวนผู้ใช้ Facebook 18.5 ล้านคน Line  18 ล้านคน และ Twitter 2 ล้านคน นอกจากนี้เรายังมีวิดีโอบน  YouTube  ในประเทศถึง 5.3 ล้านคลิป

คนไทยกำลังเข้าสู่ยุคที่มีสี่หน้าจอต่อหนึ่งผู้ใช้ ที่เราอาจใช้อุปกรณ์อย่างมือถือ คอมพิวเตอร์ ทีวี หรือแทปแล็ตที่ทำงานคล้ายๆกัน และ  sync   ข้อมูลต่างๆเข้าหากัน โดยเราอาจดูทีวีหรือหนังผ่านมือถือหรือแทปเล็ต และก็เป็นไปได้ที่เราอาจเล่นอินเตอร์เน็ตทางจอทีวี ข้อมูลจาก We arre social  ระบุว่าคนไทยโดยเฉลี่ยใช้เวลา 16.6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในการเล่นอินเตอร์เน็ตขณะที่เราใช้เวลาในการดูทีวีโดยเฉลี่ยเพียง 10.9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ นอกจากนี้จากการสำรวจของ Nielsen Thailand ระบุว่า คนไทยเล่นอินเตอร์เน็ตผ่านอุปกรณ์มือถือถึง 49% ขณะที่ใช้คอมพิวเตอร์เพียง36%

4) Mobile Applications: Cross Platform with HTML5

เนื่องจากการใช้งานของผู้ใช้ไอทีเปลี่ยนไปสู่อุปกรณ์อย่างSmartphone หรือ  Tablet มากขึ้น การทำ Application จึงต้องเน้นกลุ่มผู้ใช้เหล่านี้มากขึ้น และจะต้องทำ  Mobile Application  หลากหลาย Platform ทั้ง  Android, iOS และ Windows ซึ่งภาษาการพัฒนาโปรแกรมโดยใช้ HTML5 จะช่วยให้ผู้พัฒนาสามารถพัฒนาโปรแกรมเพียงครั้งเดียวแต่ใช้ได้ทุกแพลตฟอร์ม แต่อย่างไรก็ตามการพัฒนาโปรแกรมแบบ  Native App  จะสามารถใช้ฟังก์ชั่นต่างของอุปกรณ์ได้ดีกว่าเช่น การบอกตำแหน่ง ทำให้ผู้พัฒนาก็ยังจะให้ความสำคัญอยู่

ในปีหน้าคาดว่าหน่วยงานต่างๆในบ้านเราจะมีการพัฒนา  Mobile Application มากขึ้น และข้อมูลจาก Distimo เริ่มแสดงให้เห็นว่าตลาด Google Play  ประเทศไทยเริ่มโตขึ้นทั้งในด้านรายได้และจำนวนการดาวน์โหลด ซึ่งทาง Our Mobile Planet ระบุว่าโดยเฉลี่ยคนไทยจะมี Application อยู่ใน smartphone ประมาณ  21 App แต่ใช้ประจำเพียง 8 App และมีเพียง 4  App ที่จ่ายเงิน

 5) Bring Your Own Devices: Flexible Office/Workers

กระแสการใช้อุปกรณ์ smartphone และ Tablet  แทนที่การใช้เครื่องพีซี ประกอบกับการใช้ 3G และ  Broadband ทีมีอย่างกว้างขวางขึ้นทำให้วิถีการทำงานของคนเปลี่ยนไป พนักงานในองค์กรก็ต้องการที่จะใช้อุปกรณ์ที่สามารถทำงานได้ทั้งงานขององค์กรและเรื่องส่วนตัว ทำให้องค์กรต่างๆเริ่มอนุญาตให้พนักงานนำอุปกรณ์ส่วนตัวเข้ามาใช้ในการทำงานมากขึ้น

กระแส   BYOD กำลังเข้ามาในบ้านเรา ซึ่งจากการสำรวจของ VMware  พบว่าครึ่งหนึ่งของบริษัทที่ทำการสำรวจอนุญาตให้พนักงานนำอุปกรณ์ส่วนตัวมาใช้ในที่ทำงานได้ ดังนั้นองค์กรต่างๆต้องเริ่มปรับนโยบายในเรื่องความปลอดภัย โดยเฉพาะเรื่องข้อมูลขององค์กร สิ่งที่องค์กรต่างๆจะลงทุนมากขึ่นในปีหน้าทางด้านนี้ก็คือเรื่องการวางนโยบายตลอดจนการหาเครื่องมือด้านความปลอดภัยเพือรองรับ BYOD มาใช้ในองค์กร

6) IaaS: Migrate Servers to Cloud

การใช้ Cloud Service  ที่เป็น Infrastructure as a Service (IaaS) ในประเทศจะเป็นที่ยอมรับมากขึ้น ผู้ให้บริการ Data Center หรือแม้แต่ Telecom Operator ในประเทศจะให้บริการ IaaS มากขึ้น โดยผู้ใช้บริการส่วนหนึ่งจะมาจากกลุ่ม SME ในฝั่งของภาครัฐบาลก็จะเห็นการให้บริการ  G-Cloud  ที่ดีขึ้น การใช้  Cloud ก็จะแพร่หลายมากขึ้น องค์กรต่างๆก็จะสนใจใช้ Cloud ทั้งๆที่มาจากในและต่างประเทศ โดยเฉพาะการใช้เป็น DR site

นอกจากนี้องค์กรใหญ่ๆก็จะเริ่มมีการติดตั้ง  Private Cloud มากขึ้น ซึ่งจากการสำรวจของ VMWare เมื่อปัี 2012 พบว่าองค์กรต่างๆในประเทศไทยถึง 83% มีการติดตั้งหรือมีแผนที่จะทำ  Private Cloud  และจากการสำรวจข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทยประมาณการว่าตลาด  Cloud Computing ของประเทศไทยในปี  2013 จะโต 16.7%-22.1% คือมีมูลค่าระหว่าง 2,220  – 2,330 ล้านบาท

7) Internet of things: Connected Anywhere, Anytime and Anydevices

นอกเหนือจาก  Mobile Technology  กระแสอีกอย่างหนึ่งที่น่าจะมาแรงคือ อุปกรณ์ต่างๆที่สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ทั้ง Smart TV หรือ Wearable Technology ซึ่งในปัจจุบัน 50% ของอุปกรณ์ที่ต่ออินเตอร์เน็ตเป็นสิ่งของต่างๆ โดยในปี2010 เรามีอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตในโลก 5 พันล้านชึิ้นและมีแนวโน้มจะเพิ่มเป็น  50,000 ล้านชิ้นในปี 2020

อุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตอาจเป็นการเชื่อมต่อผ่าน NFC, Bluetooth, 3G หรือ WiFi  โดยอุปกรณ์ตัวหนึ่งที่กำลังกล่าวถึงอย่างมากคือ Google Glass ที่คาดว่าจะวางตลาดในปีหน้า และยังมีอุปกรณ์อย่าง Jawbone UP หรือนาฬิกาที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตที่เริ่มเป็นที่แพร่หลายมากขึ้น ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่าตลาดของ  Internet of Things และ Machine to Manchine (M2M) จะโตขึ้นเป็น 290 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2017

8) M-Commerce: From e-Commerce to mobile payment

คนไทยเริ่มยอมรับการซื้อของผ่านอินเตอร์เน็ตมากขึ้น ข้อมูลจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติประมาณตลาด  e-commerce ในบ้านเราไว้ที่ 340,903 ล้านบาทในปี 2011 ซึ่งน่าจะรวมถึงตลาดการซื้อขายออนไลน์ของภาครัฐด้วย ขณะที่ Paypal ประมาณการว่าตลาด e-coomerce ในประเทศไทยจะโตสูงขึ้นถึง 15 พันล้านบาท ในปี 2013

นอกจากนี้ก็มีผลสำรวจของทาง  Mastercard ที่สำรวจพฤติกรรมการซื้อของทาง e-commerce ของคนไทย พบว่า 67% ของผู้ที่ตอบแบบสอบถามเคยซื้อของทาง e-commerce และ 37% เคยใช้  M-Commerce ซึ่งถือว่าเป็นประเทศหนึ่งในเอเซียที่มีการซื้อของทาง smartphone ค่อนข้างสูง ซึ่งก็สอดคล้องกับผลสำรวจของ OurMobilePlanet  ที่คนไทยเคยซื้อของผ่าน smartphone สูงถึง 51% มากกว่าประเทศอื่นๆอย่าง สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ หรือไต้หวัน

ข้อมูลทางด้านการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยยังแสดงให้เห็นว่าเมื่อเดือนเมษายนปีนี้ ประเทศไทยมีบัญชี Internet Banking ถึง 7 ล้านบัญชี และมีบัญชี  Mobile Banking  969,977 บัญชี ซึ่งจากข้อมูลต่างๆ สนับสนุนให้เห็นว่าตลาด M-commerce ในปีหน้าในประเทศไทยน่าจะโตขึ้นอย่างมาก

9) Big Data: BI in a Big Data World

การโตขึ้นของผู้ใช้อินเตอร์เน็ต และการใช้อุปกรณืเชื่อมต่อต่างๆ ทำให้ข้อมูลในอินเตอร์เน็ตมากขึ้น ทั้งในรูปของข้อมูลแบบ  structure และ unstructure รวมถึงมีข้อมูลจากแหล่งต่างๆทั้งที่อยู่ใน social networks และข้อมูลบริษัท ทำให้องค์กรต่างๆอยากใช้ประโยชน์จากข้อมูลเหล่านี้มากขึ้น

กระแสของการหาเครื่องมือใหม่เพื่อมาวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้จึงมีมากขึ้น อาทิเช่นการใช้เทคโนโลยีอย่าง Hadoop ทำให้องค์กรต่างๆจะต้องลงทุนในการพัฒนาบุคลากรและพัฒนาเทคโนโลยีมากขึ้น โดยมีการคาดการณ์ว่าตลาดด้าน   Big Data จะโตเป็น 16.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ และจะมีความต้องการบุคลากรด้านนี้ถึง  4.4 ล้านตำแหน่งในปี 2015

10)Augmented Reality:Changing our daily life

เทคโนโลยีเสมือนจริง ( AR: Augmented Reality) เริ่มเป็นทีแพร่หลายมากขึ้น ในบ้านเรา มีการนำมาใช้ในด้านการศึกษาและการตลาด เราน่าจะเห็นตลาดทางด้่านนี้โตขึ้นมาก โดยทาง Research and Market คาดการณ์ว่าตลาดด้านนี้ทั่วโลกจะโตขึ้นถึง 5.155 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2016 และในปัจจุบันเราก็เริ่มเห็นบริษัทไทยหลายๆบริษัทมาทำงานทางด้านนี้มากขึ้น
 
แหล่งข้อมูล http://thanachart.org/2013/09/06/technology-trends-2014/ โดย ธนชาติ นุ่มนนท์ 

 

Posted under โปรแกรมคอมพิวเตอร์และนวัตกรรม

ปรับปรุงอาคาร/ทาสีอาคารเรียน สำนักงาน

วันนี้ได้ให้นักการภารโรง และครู ช่วยกันทาสีโรงเรียน เป็นอาคารสำนักงาน และอาคารเรียน ซึ่งสีซีดจาง ดูแล้วไม่สวยงาม  ได้ลงทุนซื้อสีมา 4 ถัง เป็นเงิน  6,000 บาท  วันนี้ได้ทาสีเสร็จไปแล้ว 1 อาคาร ยังเหลืออีก 2 อาคาร และรั้ว  ซึ่งจะทาสีให้เสร็จก่อนเปิดเรียน วันที่ 8 พ.ค. 57  นี้

ภาพเดิม

 

WP_20140423_012

ภาพอาคารเรียนชั้น ป.4-6 ก่อนทำการปรับปรุง

WP_20140422_001

ภาพอาคารสำนักงานโรงเรียนก่อนทำการปรับปรุง

 

ภาพที่กำลังทาสี

WP_20140422_015  WP_20140423_013

ภาพอาคารเรียนอายุ 50 ปี มองจากไกล ๆ หลังการปรับปรุง

WP_20140423_010

อาคารนี้อายุ 50 ปีแล้ว กำลังทาสี อาคารชั้น ป.1-ป.3

WP_20140423_005

กำลังทาสี อาคารชั้น ป.1-ป.3 อายุ 50 ปี แล้วค้าๆๆๆ

WP_20140422_006 (1)

ภาพอาคารสำนักงานโรงเรียนกำลังทำการปรับปรุง

WP_20140423_016

ภาพอาคารเรียนชั้น ป.4-6 กำลังทำการปรับปรุง

WP_20140422_011

ภาพสำนักงาน กำลังดำเนินการ

ทีมงานครูอนุบาล 4 คน กำลังปรับปรุงอาคาร รับลูก ๆ เปิดเทอมใหม่

ทีมงานครูอนุบาล 4 คน กำลังปรับปรุงอาคารเรียนปฐมวัยเพื่อเตรียมรับลูก ๆ เปิดเทอมใหม่

ทีมงานครูอนุบาล 4 คน กำลังปรับปรุงอาคาร รับลูก ๆ เปิดเทอมใหม่

ทีมงานครูอนุบาล 4 คน กำลังปรับปรุงอาคารเรียนปฐมวัย เพื่อเตรียมรับลูก ๆ เปิดเทอมใหม่

ทีมงานครูอนุบาล 4 คน กำลังปรับปรุงอาคาร รับลูก ๆ เปิดเทอมใหม่

ทีมงานครูอนุบาล 4 คน กำลังปรับปรุงาคารเรียนปฐมวัย เพื่อเตรียมรับลูก ๆ เปิดเทอมใหม่ทีมงานครูอนุบาล 4 คน กำลังปรับปรุงอาคาร รับลูก ๆ เปิดเทอมใหม่

ทีมงานครูอนุบาล 4 คน กำลังปรับปรุงอาคาร รับลูก ๆ เปิดเทอมใหม่

ทีมงานครูอนุบาล 4 คน กำลังปรับปรุงอาคาร รับลูก ๆ เปิดเทอมใหม่

ทีมงานครูอนุบาล 4 คน กำลังปรับปรุงอาคาร รับลูก ๆ เปิดเทอมใหม่

Posted under เกี่ยวกับโรงเรียนและชุมชน

แก้ปัญหา ไวรัสซ่อน Folder แล้วสร้าง shortcut ใน FlashDrive

หลายคนคงเคยเจอกับปัญหาแบบนี้ ที่อยู่ดีๆ folder ใน Flash Drive หายไปหมด!!
แต่ไฟล์อื่นๆดันอยู่ครบ หรือ ทุกอย่างปกติ แต่ไอ้เจ้า folder ที่ใช้เก็บข้อมูลต่างๆ
ดันกลายเป็น .exe หมดเลย!! แล้วก็จะมีคำถามตามมาว่า “ทำไงดีงานอยู่ในนั้นหมดเลย ตาย…ล่ะทีนี้”
ถ้าท่านที่เจอปัญหาแบบนี้ ให้ทำใจ…… ใจเย็นๆ ข้อมูลยังอยู่ เพียงแค่มีไวรัสบางตัวเอามันไปซ่อนไว้
และเราจะพาท่านเอามันกลับมา

เริ่มแรกมารู้จักก่อนว่ามันคืออะไรและติดมาได้ยังไง  ไวรัสตัวนี้มีชื่อว่า “ไวรัส ซ่อนไฟล์
ให้เป็น system และสร้าง shortcut”  แต่มีชื่อที่แตกต่างกันหลายชื่อเช่น VBS Worm,
VBSRunauto,VBS/Yuyun A หรือ  malware DR/Agent.JP.4, TOEUW.EXE Virus/
Malware  อาการของ ไวรัสตัวนี้ติดง่ายๆ เพียงแค่ท่านเอา Flash Drive ไปเสียเครื่องที่ติดไวรัสอยู่แล้ว
และเมื่อท่านเปิด Flash Drive ก็จะติดทันที โดยอาการที่ติดจะเป็นดังนี้

ดัง ที่เห็นในภาพไวรัสจะซ่อน folder ไว้แล้ว สร้าง shortcut ชื่อเดียวกันกับ folder นั้นๆขึ้นมา
เปรียบเทียบได้จากภาพ ซ้ายและขวา ในภาพซ้ายเป็นมุมมองปกติ ภาพขวาเป็นมุมมองแสดง folder
จริงๆของเราที่ถูกซ่อนไว้พอไปคลิกที่ folder นั้นก็จะเป็นการรัน ไฟล์ไวรัส ที่ลิ้งค์ไปให้ทำงาน
ดังในรูปนี้แสดงถึงว่า shortcut ไปที่ไฟล์ไวรัส พอ เราคลิกรันไปแล้ว ไวรัสก็จะทำงาน
ถ้าเครื่องที่มี anti virus ก็ pop up ขึ้นมาเตือน ส่วนเครื่องที่ไม่มีหรือมีแต่ไม่ update ก็ติดแน่ๆ
วิธีแก้เบื้องต้นสำหรับ flash drive ที่โดนมาจากที่อื่นคือ folder ถูกซ่อนไว้หาไม่เจอ
แต่คอมพิวเตอร์ไม่ได้ติดไวรัสตัวนี้ไปด้วย

1. หลังจากเสียบ flashdrive แล้ว เปิด My Computer ดูว่า flashdrive ของเราอยูใน Drive
อะไร เช่น F: , G: , H: ให้จำไว้แล้วปิดหน้าต่างนี้ไป ขั้นตอนต่อไป ไปที่ Start-> เลือก Run
แล้วพิมพ์ว่า cmd

จะได้หน้าต่างสีดำๆขึ้น มาเรียกว่า command prompt ดังในรูป

2. หลังจากนั้นตามที่ให้จำว่า Flash drive เราอยู่ drive ไหน ได้แล้วให้พิมพ์ drive นั้น ลงไปเช่น D:  E: F: แล้วแต่เครื่อง
พอพิมพ์ drive ลงไป เช่นถ้าอยู่ drive H: ก็จะขึ้นดังนี้ H:\>
แล้ว ให้พิมพ์คำสั่ง dir ซึ่งย่อมาจาก directory หมายถึง แสดง file และ folder ทีู่่อยู่ใน drive H
โดยพิมพ์คำสั่ง dir /ah  มี /ah เพิ่มขึ้นมาหมายถึง ให้แสดงเฉพาะ file และ folder
ที่ถูกซ่อนอยู่ (hidden) ซึ่งทีนี้เราก็จะเห็นแล้วว่า folder เก็บงานเราไม่ได้หายไำปไหน
ยังอยู่ครบเพียงแต่ถูกซ่อนไว้ และ ทำให้สถานะเป็น system file ต่อไปเป็นการทำให้กลับมา
โดยพิมพ์ต่อใน command prompt เลย ให้พิมพ์ว่า attrib -s -h -r /s /d ดังในรูป

แล้วพิมพ์คำสั่งในการลบ Folder ที่ซ่อนอยู่ (ไวรัส) ดังนี้    H:\>attrib -s -h -r /s /d
ความหมายของคำสั่ง attrib มาจากคำว่า Attribute แปลว่าคุณลักษณะ เป็นคำสั่งจัดการกับลักษณะ
หรือประเภทไฟล์ ต่่อมา -s -h -r เป็นการระบุประเภทของไฟล์ นั้นๆ โดย R(Read-Only)
H(Hidden File) S(System File) ส่วน /s /d  หมายถึงทุก file และ ทุกๆ folder
รวมถึง sub folder คือ folder ย่อยๆนั้นเอง พอทราบความหมายแล้วมาดูผลการทำงานกัน
พิมพ์ attrib -s -h -r /s /d แล้ว Enter หลังจาก enter จะมีการทำงานของคำสั่งให้รอสักครู่แล้วมา
ดูผลการทำงานกันโดยใช้คำสั่งเดิม คือ dir /ah ผลที่ได้หากไม่มี file หรือ folderที่ถูกซ่อนไว้ถือว่าการทำงานสำเร็จ
คราวนี้ไปดูใน Flash drive กันว่าเป็นยังไงบ้าง ผลที่ได้ึืคือได้ folder ต่างๆ กลับมา
ขอขอบคุณ : http://www.singburi.go.th/sara/shortcut%20virus.html
Posted under ไวรัส มารแวร์และการแก้ปัญหา

ปัญหาเชาวน์ 1

“อะไรเอ่ย?? เวลาใช้ต้องชักเข้า ชักออก อยากเสร็จเร็ว เข้า-ออกเร็วๆ แรงๆ ก็เจ็บ สำคัญตรงที่มีขน”
ScreenHunter_01-Oct.-14-13.51

 

ใครทราบแล้วตอบด้วย/แสดงความคิดเห็นมาเลย

Posted under ปัญหาขบขัน/เชาวน์ปัญญา
1 2